มุมมองของเพศวิถี
มุมมองของเพศวิถี มุมมองของเพศวิถี สังคมไทย ปัจจุบัน ให้การยอมรับและเปิดกว้างกับเรื่อง “ เพศวิถี ” มากยิ่งขึ้น เพราะหากจะให้นิยาม...
มุมมองของเพศวิถี
มุมมองของเพศวิถี
3. มิติของพฤติกรรม และกิริยามารยาท
(Behaviors and Manners)
มิตินี้เกี่ยวข้องการกำหนดบทบาทของตนเองที่แสดงออก
เพื่อให้นิยามความหมายของตนเอง ทั้งนี้คำนิยามทางเพศในมิตินี้จะมีความแตกต่าง
และไม่เหมือนกัน แม้จะมองในลักษณะเดียวกัน ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อม ตลอดจนความพึงพอใจ
หรือความชื่นชอบสนใจของตนเองด้วย เช่น
การที่ผู้มีเพศกำเนิดเป็นชายแต่มีลักษณะตุ้งติ้ง อ่อนหวาน
ตนเองอาจกำหนดคำจำกัดความตนเองว่าเป็นกะเทย แต่ขณะที่ผู้อื่นกลับมองว่าตนคือเกย์
เป็นต้น

มุมมองของเพศวิถี
สังคมไทยปัจจุบันให้การยอมรับและเปิดกว้างกับเรื่อง
“เพศวิถี” มากยิ่งขึ้น เพราะหากจะให้นิยามเพศต่าง ๆ
แล้ว คง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมไทยมีเพียงเพศหญิง และเพศชาย เท่านั้น ความหลากหลายทางเพศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนแต่เกิดจากมิติทางสังคมที่กำหนดความหมายต่าง ๆ ดังที่นักวิชาการได้กำหนดมิติมุมมองของเพศวิถีว่ามีความแตกต่างถึง 6 มิติ คือ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมไทยมีเพียงเพศหญิง และเพศชาย เท่านั้น ความหลากหลายทางเพศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนแต่เกิดจากมิติทางสังคมที่กำหนดความหมายต่าง ๆ ดังที่นักวิชาการได้กำหนดมิติมุมมองของเพศวิถีว่ามีความแตกต่างถึง 6 มิติ คือ
1. มิติของความปรารถนา การประพฤติ ปฏิบัติ และอัตลักษณ์ (Erotic desires, Practices and Identity)
มุมมองของเพศวิถีทางด้านอัตลักษณ์นี้
สื่อถึงการนิยามความหมายทางเพศของตนเองตามลักษณะเพศภาวะ (Gender)
ด้วย ทั้งนี้ในเชิงมิติความปรารถนา การประพฤติ ปฏิบัติ
และอัตลักษณ์นี้ บางครั้งไม่ได้หมายถึงการนิยามเพศของตนเองเพียงอย่างเดียว
แต่ยังหมายถึงมุมมองการนิยามเพศของเราที่ผู้อื่นมองเห็นและให้นิยามกันอีกด้วย
2. มิติการนำเสนอร่างกาย (Appearances and Display)
คือการนิยามความหมายทางเพศของตนเอง
โดยการนำเสนอร่างกายของตนเองตามที่ต้องการสื่อให้ถึงผู้อื่น
หรือชักจูงให้ผู้อื่นเข้าใจคล้อยตาม เช่น การปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ
ลักษณะร่างกายภายนอก การตัดผมสั้นเพื่อสื่อถึงความเป็นชาย
การไว้ผมยาวเพื่อสื่อถึงความเป็นหญิง เป็นต้น
3. มิติของพฤติกรรม และกิริยามารยาท
(Behaviors and Manners)
มิตินี้เกี่ยวข้องการกำหนดบทบาทของตนเองที่แสดงออก
เพื่อให้นิยามความหมายของตนเอง ทั้งนี้คำนิยามทางเพศในมิตินี้จะมีความแตกต่าง
และไม่เหมือนกัน แม้จะมองในลักษณะเดียวกัน ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อม ตลอดจนความพึงพอใจ
หรือความชื่นชอบสนใจของตนเองด้วย เช่น
การที่ผู้มีเพศกำเนิดเป็นชายแต่มีลักษณะตุ้งติ้ง อ่อนหวาน
ตนเองอาจกำหนดคำจำกัดความตนเองว่าเป็นกะเทย แต่ขณะที่ผู้อื่นกลับมองว่าตนคือเกย์
เป็นต้น4. มิติของการดึงดูดทางเพศ (Attraction)
สังคมได้กำหนดกฎเกณฑ์ของการมีความรักไว้ว่าต้องเป็นรักระหว่างเพศเท่านั้น
ซึ่งแต่เดิมนิยามถึงความรักของเพศชาย และเพศหญิง
แต่ในปัจจุบันความรักที่แตกต่างจากนี้ก็ไม่ได้หลุดจากกรอบกฎเกณฑ์ของสังคมแต่อย่างใด
เพราะผู้ที่รักและชื่นชอบในเพศเดียวกันนั้น
ก็จะมีความรักให้กับผู้มีเพศภาวะเดียวกัน เช่น เกย์รักกับเกย์ กะเทยรักกับผู้ชาย
ดี้รักกับทอม เพราะหากการกำหนดตามกรอบสังคมดังกล่าว
ผู้ที่หลุดจากกรอบสังคมได้คือบุคคลที่สามารถเปิดกว้างรักได้ทุกเพศ ทุกวัย
อย่างไม่จำกัด
5. มิติของความสัมพันธ์ (Relationship)
กฎกติกาว่าด้วยการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างชาย
- หญิง เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรม
ซึ่งบางสังคมไม่มีกติกาของการจบความสัมพันธ์
6. มิติของเพศสัมพันธ์ (Having sex)
เพศวิถีมีการนิยามว่าอะไรคือการร่วมเพศ
ทำอย่างไรจึงเรียกว่าการร่วมเพศ และการร่วมเพศที่ถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างไร
และที่ผิดปกติเป็นอย่างไร